วันอาทิตย์ที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2553

นาฬิกาชีวิต

เราพบว่าเด็กรุ่นใหม่กินนอนไม่เป็น คือไม่เป็นอันกินไม่เป็นอันนอน ถึงเวลาควรนอนกลับไม่นอน ถึงเวลากินกลับไม่ได้กิน แล้วเป็นสาเหตุให้เจ็บป่วยเด็กรุ่นใหม่ไม่ค่อยกินอาหารเช้า บางคนต้องรีบไปโรงเรียน บางคนตื่นสาย บางคนก็ไม่มีจะกิน มันมีหลายสาเหตุคราวนี้การไม่กินอาหารเช้านี่มีโทษยังไงบ้าง พอเราไม่กินอาหารเช้า ช่วงเช้าสมองต้องการน้ำตาลและกรดอะมิโนจากโปรตีนไปเลี้ยงสมอง ถ้ากินอาหารเช้าก็แล้วไป แต่ถ้าไม่กินอาหารเช้า รู้ไหมว่า หัวใจ ตับ ม้าม ปอด อวัยวะสำคัญๆจะต้องส่งส่วย ส่งน้ำตาลที่เขาเอาไว้เลี้ยงชีพของเขา ตับจะต้องมีน้ำตาลไว้เลี้ยงชีพ ไต หัวใจ ต้องมีน้ำตาลไว้เลี้ยงชีพ เขาต้องแบ่งน่ะ คือต้องส่งส่วยของตัวเองเพื่อไปเลี้ยงสมอง เป็นอย่างนี้ทุกวันในที่สุด ...หัวใจ ตับ ไต ม้าม ปอด ของเราได้สารอาหารไม่เพียงพอในแต่ละวันวันข้างหน้าเขาจึงเสื่อม เราก็ได้โรคหัวใจ โรคไตแล้วในที่สุดได้โรคเกี่ยวกับสมองมา นี่เรากำลังอยู่แบบทำลายชีวิตตัวเองนะคะ แล้วถึงเวลานอนไม่ได้นอนเนี่ย ในแต่ละวันมีอวัยวะบางส่วนที่ต้องการซ่อมแซม ถ้าเราไม่นอนเขาก็ซ่อมไม่ได้ คนไม่รู้อยู่ รู้กินรู้นอน ก็เลยต้องนำทฤษฎีเมื่อ 5,000 ปีก่อนมานำเสนอใหม่ คือเรื่องของนาฬิกาชีวิตว่าช่วงเวลาไหน ร่างกาย อวัยวะตัวไหนดูแลอะไร แล้วการกินอาหารตามนาฬิกาชีวิตนี่มันช่วยได้เยอะ

การดำเนินชีวิตและปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในชีวิตประจำวันให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของธรรมชาติ จึงเป็นหลักฐานของการมีสุขภาพดีและอายุยืน ปราศจากโรค โดยแบ่งเป็นช่วงเวลาดังนี้

0100-0300 น. เป็นช่วงเวลาของตับ ควรนอนหลับพักผ่อน ถ้าใครนอนหลับได้ดีเป็นประจำในช่วงเวลานี้ ตับจะหลั่งสารมีราโทนิน เพื่อฆ่าเชื้อโรค ทำให้หน้าอ่อนกว่าวัย นอกจากนี้ร่างกายจะหลั่งสารเอนโดรฟินออกมาด้วย จึงไม่ควรกินอาหาร เพราะจะทำให้ตับทำงานหนักและเสื่อมเร็ว หน้าที่หลักของตับคือ ขจัดสารพิษในร่างกาย ส่วนหน้าที่รอง คือ

1. ช่วยไตในการดูแลผม ขน เล็บ ถ้าตับมีปัญหา ผมขน เล็บจะไม่สวย

2. ช่วยกระเพาะย่อยอาหาร ถ้ากินบ่อย ๆ จะทำให้ตับทำงานหนัก ตับจะหลั่งน้ำย่อยออกมามาก จึงไม่ได้ทำหน้าที่หลัก เป็นเหตุใก้สารพิษตกค้างในตับ

0300-0500 น. เป็นช่วงเวลาของปอด จึงควรตื่นนอน ลุกขึ้นสูดอากาศที่บริสุทธิ์ และรับแสงแดดในยามเช้า ผู้ที่ตื่นนอนช่วงนี้เป็นประจำปอดจะดี ผิวดีและจะเป็นคนที่มีอำนาจในตัว

0500-0700 น. เป็นช่วงเวลาของลำไส้ใหญ่ ควรขับถ่ายอุจจาระ ทำให้เป็นนิสัยทุกเช้า ถ้าไม่ถ่ายให้ใช้วิธีกดจุดที่ตำแหน่งสองข้างของจมูก ถ้ายังไม่ถ่ายให้ดื่มน้ำอุ่น 2 แก้ว ถ้ายังไม่ถ่ายให้ดื่มน้ำผึ้งผสมมะนาว โดยใช้น้ำ 1 แก้ว + น้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ+น้ำมะนาว 4-5 ลูก ทำดื่มจนกว่าจะถ่าย หรือบริหารโดยยืนตรง หายใจเข้าแล้วก้มลงพร้อมทั้งหายใจออก เอามือท้าวเข่าแขม่วท้องจนเหมือนว่าหน้าท้องไปติดสันหลัง

0700-0900 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะอาหาร กระเพาะอาหารจะทำงาน ถ้ากินอาหารเช้าในช่วงเวลานี้ทุกวัน กระเพาะอาหารจะแข็งแรง ถ้าปล่อยให้กระเพาะอาหารอ่อนแอ จะส่งผลให้เป็นคนตีดสินใจช้า ขี้กังวล ขาไม่ค่อยมีแรง ปวดเข่า หน้าเก่เร็วกว่าวัย

0900-1100 น. เป็นช่วงเวลาของม้าม ม้ามจะอยู่ชายโครงด้านซ้าย มีหน้าที่ควบคุมเม็ดเลือด สร้างน้ำเหลือง ควบคุมไขมัน คนที่ปวดศรีษะบ่อย มักมาจากความผิดปกติของม้าม อาการเจ็บชายโครงสาเหตุมาจากม้ามกับตับ

- ม้ามโต ม้ามจะไปเบียดปอด ทำให้เหนื่อยง่าย ผอมเหลือง ตาเหลือง สร้างเม็ดเลือดขาวได้น้อย

- ม้ามชื้น อาหารและน้ำที่กินเข้าไปจะแปรสภาพเป็นไขมัน จึงทำให้อ้วนง่าย

ผู้ที่มักนอนหลับในช่วงเวลา 0900-1100 น. ม้ามจะอ่อนแอ ภูมิคุ้มกันตก อ้วนง่าย นอกจากนี้ม้ามยังโยงถึงริมฝีปาก ผู้ที่พูดบ่อย ๆ หรือพูดเก่ง ม้ามจะชื้น จึงควรพูดน้อย กินน้อย ม้ามจึงจะแข็งแรง

- 1100-1300 น. เป็นช่วงเวลาของหัวใจ หัวใจทำงานหนักในช่วงเวลานี้ จึงควรหลีกเลี่ยงความเครียด เหตุที่ทำให้ต้องใช้ความคิดหนัก และหาทางระงับอารมณ์ตื่นเต้นหรืออาการตกใจให้ได้

- 1300-1500 น. เป็นช่วงของลำไส้เล็ก จึงควรงดการกินอาหารทุกประเภทเพื่อเปิดโอกาสให้ลำไส้ทำงาน ลำไส้เล็กมีหน้าที่ดูดซึมสารอาหารที่เป็นน้ำทุกชนิด เช่น วิตามินซี บี โปรตีนเพื่อสร้างกรดอะมิโน สร้างเซลล์สมอง ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ สร้างไข่สำหรับผู้หญิง ถ้ากรดอะมิโนน้อยไข่จะมาไม่ครบทุกเดือน ผู้หญิงมีลำไส้ยาวกว่าผู้ชาย เมื่อมีลำไส้ยาวกว่าจึงกระดูกซี่โครงมากกว่าผู้ชายข้างละ 1 ซี่

- 1500-1700 น. เป็นช่วงเวลาของกระเพาะปัสสาวะ ช่วงเวลานี้จึงควรทำให้เหงื่อออก อาจจะออกกำลังกายหรืออบตัวกระเพาะปัสสาวะจะได้แข็งแรง ข้อควรระวัง ถ้าเหงื่อมีโซเดียมปปนออกมามากไตจะวาย แต่ถ้ามีโปตัสเซียมปนออกมามาก หัวใจจะวาย แก้ไขเรื่องหัวใจวายด้วยการให้ดื่มน้ำส้มหรือน้ำมะนาว(ผู้ที่มีโปตัสเซียมน้อยต้องระวังเรื่องการฉีดยาชา) เพราะยาชา จะทำให้โปตัสเซียมลดลงอย่างรวดเร็ว หัวใจอาจวายได้ง่าย)

การอั้นปัสสาวะบ่อย ๆ ปัสสาวะจะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเดือด ทำให้เหงื่อที่ออกมามีกลิ่นเหม็นเหมือนปัสสาวะ

- 1700-1900น .เป็นช่วงเวลาของไต ควรทำใจให้สดชื่น ไม่ง่วงเหงาหาวนอนในเวลานี้ ผู้ใดมีอาการง่วงนอนช่วงนี้แสดงว่ามีปัญหาเรื่องไตเสื่อม

- ไตซ้าย จะคุมสมองด้านขวา ซึ่งควบคุมด้านความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์สุนทรีย์ รักสวยรักงาม ชอบแต่งตัว ถ้าไตซ้ายมีปัญหา อารมณ์รักสวยนรักงามจะหมดไป กลายเป็นคนปล่อยเนื้อปล่อยตัว และเป็นคนขี้ร้อน

- ไตขวา จะคุมสมองด้านซ้าย ซึ่งควบคุมด้านความจำ ถ้าไตขวามีปัญหา ความจำจะเสื่อม และเป็นคนขี้หนาว(ผู้ที่ไตแข็งแรงจะเป็นคนมีอายุยืน เป็นคนกล้า)

ถ้าลำไส้เล็กมีไขมันเกาะมาก อาหารที่อยู่ในรูปของสารละลายจะผ่านลำไส้เล็กไม่ได้ จึงตกเป็นภาระของไต เป็นผลให้ไตทำงานหนัก สมองจะเสื่อม ปวดหลัง เป็นหวัดง่าย มีเสลดในคอ

- 1900-2100 น. เป็นช่วงเวลาของเยื่อหุ้มหัวใจ ช่วงเวลานี้ควรจะสวดมนต์ ทำสมาธิ ปัญหาเกี่ยวกับเยื่อหุ้มหัวใจ คือหัวใจโต หัวใจรั่ว เส้นเลือดหัวใจตีบ ดังนั้นผู้ป่วยต้องระวังเรื่องตื่นเต้น ดีใจ

- 2100-2300 น. เป็นช่วงที่ต้องทำให้ร่างกายอบอุ่น จึงไม่ควรอาบน้ำเย็นเวลานี้เพราะจะทำให้ป่วยง่าย อย่าไปตากลมเพราะเป็นช่วงที่ลมเป็นพิษ

- 2300-0100 น. เป็นช่วงเวลาของถุงน้ำดี อวัยวะใดในร่างกายเมื่อขาดน้ำ จะมาดึงน้ำจากถุงน้ำดี ทำให้ถุงน้ำดีข้น เป็นผลให้อารมณ์ฉุนเฉียว ปวดศรีษะข้างเดียวหรือสองข้างโดยไม่ทราบสาเหตุ ทางแก้ อย่าใส่ชุดนอนที่เป็นผ้าใยสังเคราะห์ ไม่นอนบนที่นอนสูง ๆเพราะจะทำให้เสียน้ำในร่างกาย และควรดื่มน้ำก่อนเข้านอนนะจ๊ะ...



วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2553

ความสำคัญของอาหารเช้า


หากยากยิ้ม คุณจงยิ้ม หากยากฝันคุณจงฝัน ลองเปลี่ยนแปลงตัวเองดูสักวัน แล้วจะรู้ว่าความฝันไม่ได้อยู่แสนไกล ลองดูนะคะ ลองเปลี่ยนพฤติกรรม เปลี่ยนความคิด (เปลี่ยนความคิด ฃีวิตเปลี่ยน ว่าเข้าน่านๆๆ) ขอให้เห็นความสำคัญของอาหารเช้าชีวิตจะดี(เกินคุ้ม) เรามาพูดถึงความสำคัญของอาหารเช้ากันต่อนะคะ อย่างที่บอกมานั่นและค่ะว่า ให้กินอาหารเช้าแบบราชา หมายถึงอาหารเช้า 40-50%อาหารกลางวัน แบบสามัญ หมายถึงกินอาหารกลางวัน 30-50% กินอาหารเย็นแบบยาจก หมายถึง 10-20%หรือจะอีกนัยหนึ่งว่า อาหารเช้าบำรุงสมอง อาหารกลางวันบำรุงกำลัง อาหารเย็นบำรุงกำหนัด (หมายถึงบำรุงเพศนะ)ก็คงไม่ผิดนัก แต่ในปัจจุบันด้วยเหตุใดก็ตาม คนส่วนใหญ่กลับทำตรงข้าม แล้วหลายคนก็อ้วน เป็นพฤติกรรมไม่พึงประสงค์
เวลาที่เหมาะสมในการรับประทานอาหารเช้า คือเวลา 0700-0900 น. เพราะเป็นช่วงที่กระเพาะอาหารทำงาน ถ้าไม่มีอาหารลงไปในกระเพาะ การบีบรัดของกระเพาะจะไปเอาอุจจาระ (แทนที่จะเป็นสารอาหารที่มีประโยชน์) กลับมา Recycle ฉะนั้นคนที่ท้องผูกบ่อยอุจจาระที่ถ่ายออกมาจะเป็นเม็ดแข็ง เพราะถูกย่อยซ้ำและถูกดูดน้ำออกไปซ้ำอีกเลือดจะสกปรก
ผลเสียของการไม่รับประทานอาหารเช้า
- ร่างกายขาดสารอาหารที่จำเป็นในการเสริมสร้างพลังงานและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
- เลือดไม่สะอาด ทำให้อวัยวะไม่แข็งแรง
- สมองไม่ได้รับสารอาหารเพียงพอ ทำให้ไอคิวต่ำ เฉื่อย ขาดความว่องไว ความจำไม่ดี อายุ 50 ปีขึ้นไปสมองจะเสื่อม เข้าสู่ความเสื่อม 80% เป็นอัลไซเมอร์
- ถ้าไม่รับประทานอาหารเช้าเป็นเวลานาน กระเพาะจะไม่แข็งแรง การขับถ่ายไม่ดี ตัวเหลว กล้ามเนื้อเหลว ผิวเหี่ยวและคล้ำ แก่เร็ว ภูมิต้านทานลด ปวดหัว ปวดเข่า ความจำเสื่อม เน้นอัลไซเมอร์ ชัวร์
ถ้าไม่สะดวกในการรับประทานอาหารเช้า แค่โยเกิร์ต 1 ถ้วย กับกล้วยน้ำว้า 1 ลูกก็ยังดี โยเกิร์ตดีสำหรับกระเพาะและลำไส้ กล้วยน้ำว้าอุดมด้วยโปรตีนและวิตามินเอ ซี อี และย่อยง่าย การดื่มกาแฟแทนอาหารเช้าไม่ได้ประโยชน์และอาจเป็นโทษด้วยสารคาเฟอีน
ไม่เป็นไรนะคะยิ้มสู้ แค่ค่อยๆปรับค่อยๆเปลี่ยนเดี๋ยวก็ได้เองแหละ จะได้ลดภาระค่ารักษาพยาบาลไงล่ะ(เป็นการช่วยชาติทางอ้อมฮิๆๆๆ)